1. เข้าไปที่เวปไซด์ http://www.gmail.com/
2.คลิกที่คำว่า GMail ตรงด้านบนซ้ายของเวปค่ะ
3. คลิกที่ สร้างบัญชี
4.หลังจากนั้นกรอกข้อมูลส่วนตัวให้เรียบร้อย
>>เมื่อเสร็จแล้วคลิกที่ ฉันยอมรับ โปรดสร้างบัญชีของฉัน
เท่านี้คุณก้อได้เมล์ของ Gmail แล้วละค๊า
วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2552
วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2552
ขั้นตอนการสมัคร Blogger
>>>ก่อนที่จะทำ blog จะต้องมี gmail ก่อนนะ
1.เข้าไปทีเว็บไซต์ Blogger.com จะปรากฏหน้าจอแบบนี้
เมื่อคุณพร้อมแล้วคุณก็คลิกที่ “สร้างบล็อกของคุณทันที” ได้เลย
1.เข้าไปทีเว็บไซต์ Blogger.com จะปรากฏหน้าจอแบบนี้
เมื่อคุณพร้อมแล้วคุณก็คลิกที่ “สร้างบล็อกของคุณทันที” ได้เลย
2. เข้าสู่ขั้นตอนที่ 1 แล้วนะ
ให้คุณกรอกรายละเอียดต่าง ๆ ลงไปให้ครบ กรอกทุกอย่างเรียบร้อย คลิกที่ “ดำเนินการต่อ”
3.เข้าสู่ขั้นตอนที่ 2 ตั้งชื่อเว็บบล็อกของคุณ
อยากให้บล็อกของคุณมีชื่ออะไรก็จัดไปเลย
url : บล็อกของคุณจะมีลักษณะแบบนี้ http://ชื่อที่คุณตั้ง.blogsport.com/
กรอกทุกอย่างครบถ้วนเรียบร้อย คลิกที่ “ดำเนินการต่อ”
4.การเลือกแม่แบบ
ให้คุณเลือกแม่แบบ (Template) ที่คุณต้องการ ชอบหน้าตาแบบไหน สีอะไรก็เลือกเลย เลือกแม่แบบที่ต้องการได้แล้ว คลิกที่ “ดำเนินการต่อ”
5.เสร็วแล้วก็จะปรากฎหน้าจอแบบนี้
บล็อก ของคุณถูกสร้างขึ้นแล้วเป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการสมัครใช้บล็อก
6.ขั้นสุดท้ายก็คือการเพิ่มเนื้อหาลงในบล็อกของคุณ
เพียงแค่นี้ คุณก็มีบล็อก กับ blogger.com เป็นที่เรียบร้อยแล้ววว
หลากหลายวิธี ช่วยให้อารมณ์ดี
หันไปทางไหนในยามนี้ เจอแต่คนหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยพิษเศรษฐกิจตกสะเก็ด อย่ากระนั้นเลย มาลองหาวิธีชุบชูใจให้อารมณ์ดีทันตาเห็นกันดีกว่า แต่ละวิธีที่จะนำมาบอกต่อกันนี้สรุปมาจากข้อเขียนของคริสตี โล ในหนังสือพิมพ์เดอะ ซิดนีย์ มอร์นิง เฮอรัลด์ ของออสเตรเลีย ล้วนแล้วแต่เป็นวิธีง่ายๆ แทบไม่ต้องควักกระเป๋าจ่ายตังค์เพิ่ม หรือจ่ายน้อยมาก
1.วิธีแรกสุดคือ ต้องรู้จักหายใจให้มีความสุข เพราะครูสอนโยคะบอกว่า การหายใจเป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างกายกับจิต ดังนั้น มันจึงสามารถเปลี่ยนอารมณ์ของเราได้ด้วย โดยให้นั่งตัวตรงปล่อยตัวตามสบายค่อยๆ หายใจเข้าออกช้าๆ สัก 3 นาที หรือถ้ารู้สึกหนักมากต่อเวลาออกไปก็ได้
2.ลองเปลี่ยนบรรยากาศในห้อง ก็เป็นการจัดสภาพแวดล้อมที่ช่วยคลายเครียดได้ไม่น้อย นักจิตวิทยาแนะนำว่า การนำแจกันดอกไม้มาตั้งไว้ในห้องก็เป็นไอเดียที่ไม่เลว ในการนำสภาพแวดล้อมภายนอกเข้ามาในห้อง ที่สำคัญต้องเป็นดอกไม้ที่มีสีสันสดใสสักหน่อย อย่างดอกทานตะวันหรือกล้วยไม้กำลังบานนี่ใช่เลย นอกจากนี้ยังอาจเปลี่ยนสีห้องเพราะว่าสีมีอิทธิพลทางจิตวิทยาต่อคนเรา
3.ตั้งความฝันไว้ แล้วไปให้ถึง สังเกตพวกวัยรุ่นที่ชอบติดรูปดาราคนโปรดในห้อง ก็เพราะยึดดาราเป็นต้นแบบที่จะไปให้ถึง สำหรับคนทำงานแล้วอาจติดรูปภาพสถานที่ที่อยากไปเที่ยวแปะไว้ข้างฝา เพื่อเป็นแรงกระตุ้นว่าสักวันเถอะ จะต้องไปที่นั่นให้ได้
4.เรื่องของกลิ่นก็มีส่วนช่วย อาจจะจุดเทียนหอม หรือ น้ำมันหอมระเหย ทำให้ห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นที่น่าอภิรมย์ พลอยให้จิตใจไม่หงุดหงิดง่าย ระหว่างนั้นอาจจะจิบชารสที่ชอบไปด้วย แต่เรื่องชามีผู้แนะนำว่าให้เลือกชาคาโมไมล์ และเอิร์ลเกรย์ จะช่วยคลายอารมณ์ได้
สุดท้ายอาจฟังดูแปลกพิสดาร เขาแนะนำให้ล้างมือ ผู้แนะนำบอกว่า ระหว่างล้างมือด้วยน้ำกับสบู่จะทำให้เราจดจ่อกับสีและกลิ่นของฟองสบู่ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เราค่อยๆ เปลี่ยนอารมณ์ให้เย็นลงนั่นเอง
ที่มา <<< คลิก
1.วิธีแรกสุดคือ ต้องรู้จักหายใจให้มีความสุข เพราะครูสอนโยคะบอกว่า การหายใจเป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างกายกับจิต ดังนั้น มันจึงสามารถเปลี่ยนอารมณ์ของเราได้ด้วย โดยให้นั่งตัวตรงปล่อยตัวตามสบายค่อยๆ หายใจเข้าออกช้าๆ สัก 3 นาที หรือถ้ารู้สึกหนักมากต่อเวลาออกไปก็ได้
2.ลองเปลี่ยนบรรยากาศในห้อง ก็เป็นการจัดสภาพแวดล้อมที่ช่วยคลายเครียดได้ไม่น้อย นักจิตวิทยาแนะนำว่า การนำแจกันดอกไม้มาตั้งไว้ในห้องก็เป็นไอเดียที่ไม่เลว ในการนำสภาพแวดล้อมภายนอกเข้ามาในห้อง ที่สำคัญต้องเป็นดอกไม้ที่มีสีสันสดใสสักหน่อย อย่างดอกทานตะวันหรือกล้วยไม้กำลังบานนี่ใช่เลย นอกจากนี้ยังอาจเปลี่ยนสีห้องเพราะว่าสีมีอิทธิพลทางจิตวิทยาต่อคนเรา
3.ตั้งความฝันไว้ แล้วไปให้ถึง สังเกตพวกวัยรุ่นที่ชอบติดรูปดาราคนโปรดในห้อง ก็เพราะยึดดาราเป็นต้นแบบที่จะไปให้ถึง สำหรับคนทำงานแล้วอาจติดรูปภาพสถานที่ที่อยากไปเที่ยวแปะไว้ข้างฝา เพื่อเป็นแรงกระตุ้นว่าสักวันเถอะ จะต้องไปที่นั่นให้ได้
4.เรื่องของกลิ่นก็มีส่วนช่วย อาจจะจุดเทียนหอม หรือ น้ำมันหอมระเหย ทำให้ห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นที่น่าอภิรมย์ พลอยให้จิตใจไม่หงุดหงิดง่าย ระหว่างนั้นอาจจะจิบชารสที่ชอบไปด้วย แต่เรื่องชามีผู้แนะนำว่าให้เลือกชาคาโมไมล์ และเอิร์ลเกรย์ จะช่วยคลายอารมณ์ได้
สุดท้ายอาจฟังดูแปลกพิสดาร เขาแนะนำให้ล้างมือ ผู้แนะนำบอกว่า ระหว่างล้างมือด้วยน้ำกับสบู่จะทำให้เราจดจ่อกับสีและกลิ่นของฟองสบู่ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เราค่อยๆ เปลี่ยนอารมณ์ให้เย็นลงนั่นเอง
ที่มา <<< คลิก
เลือกหมอน . . . ให้หลับสบาย
ความทุกข์ของคนอาจจะเกิดจากเป็นโรค บางคนถ่ายไม่ได้หรือถ่ายลำบากก็ทุกข์ รับประทานมากเกินไปหรือน้อยเกินไปก็ทุกข์ การนอนไม่หลับก็เป็นทุกข์โดยเฉพาะผู้สูงอายุ การนอนหลับเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด เป็นการพักผ่อนทั้งร่างกายและจิตใจ หลังจากที่ได้ทำงานหนักทั้งกายและใจ การจะนอนให้หลับฝันดีต้องมีองค์ประกอบหลายอย่าง การเลือกหมอนที่เหมาะสมก็อาจจะทำให้นอนหลับดีขึ้น และยังลดอาการปวดหลังหรือปวดคอ ช่วยให้คุณหลับสบายมากขึ้น
วิธีการหนุนหมอน
1. นอนหงาย ตำแหน่งที่จะใช้หนุน ได้แก่ บริเวณศีรษะ คอ ไหล่ และเข่า
2. นอนตะแคง มีหมอนใบหนึ่งหนุนศีรษะ โดยที่หมอนต้องไม่สูงเกินไป และมีหมอนข้างอีกใบไว้ระหว่งขา บางท่านอาจจะใช้ผ้าขนหนูม้วนหนุนข้อมือด้านที่ตะแคง
3. นอนคว่ำ ไม่ต้องใช้หมอน หรือหากจะใช้ต้องค่อนข้างจะแบน และอาจจะมีหมอนใบเล็กๆ หนุนตรงบริเวณท้อง
ชนิดของหมอน
1. หนุนที่เข่า ซึ่งสามารถหนุนได้สองรูปแบบ คือ นอนหงายแล้วเอาหมอนหนุนใต้เข่า หรือนอนตะแคงหมอนอยู่ระหว่างขา ท่านอน และการใช้หมอนท่านี้ จะช่วยลดอาการปวดหลัง เนื่องจากกล้ามเนื้อหลังอักเสบ หมอนที่ใช้คือ หมอนข้าง
2. หมอนหนุนทีศีรษะและคอ หมอนที่ดีควรจะรองตั้งแต่ต้นคอจรดถึงศีรษะ ความสูงของหมอนประมาณ 4-6 นิ้ว หมอนควรจะนุ่ม และสามารถรองรับบริเวณคอได้ดี หมอนชนิดนี้เหมาะสำหรับคนที่ปวดต้นคอ หากหมอนสูงเกินไป เมื่อนอนหงายหรือนอนตะแคง กล้ามเนื้อคอจะถูกยืดมากเกินไปทำให้ปวดกล้ามเนื้อคอ และที่สำคัญในท่านอนหงายหากหมอนสูงไปจะทำให้ทางเดินหายใจแคบเกิดอาการกรน
3. หมอนรูปตัว U เป็นหมอนทีใช้สำหรับหนุนคอขณะเดินทางโดยสาร เพื่อป้องกันมิให้คอเอียงไปทางด้านใดด้านหนึ่ง หรือหงายไปทางด้านหลัง เหมาะสำหรับนั่งหลับขณะโดยสารในรถหรือเครื่องบิน
4. หมอนรองหลัง ใช้สำหรับหนุนหลังส่วนเอว เหมาะสำหรับคนที่ต้องทำงานนั่งนาน หรือขับรถนาน เพื่อลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อหลัง
5. หมอนรูปโดนัท เหมาะสำหรับผู้ที่มีกระดูกก้นกบหัก เวลานั่งจะไม่ปวดก้น
เมื่อท่านเลือกที่จะใช้หมอนที่ใดที่หนึ่งให้ลองดูสัก 1-2 สัปดาห์ จึงจะเห็นผล เมื่อใช้หมอนไประยะเวลาหนึ่งความนุ่มของหมอนจะเสียไป ต้องเปลี่ยนหมอนใหม่
ที่มา <<< คลิก
ทัชมาฮัล
Download
ทัชมาฮัล เป็นอนุสาวรีย์แห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ของโลก เพราะที่นี่เป็นสุสานฝังศพของ มุมทัชมาฮาล ราชินีผู้ป็นที่รักยิ่งของ พระเจ้าชาห์เยฮัน อยู่ในเมืองอัคระ บนฝั่งแม่น้ำยมนา ประเทศอินเดีย มุมทัชมาฮาล เป็นมเหสีที่พระเจ้าชาห์เยฮันรักมากที่สุด พระนางสิ้นพระชนม์เพราะคลอดโอรสองค์ที่ 15 ซึ่งทำให้พระเจ้าชาห์เยฮัน เศร้าโศกมาก พระองค์จึงสร้างที่ฝังศพที่หญ่โตที่สุดในโลกขึ้นที่ริมแม่น้ำยมนา สร้างระหว่างปี พ.ศ. 2173-2191 (ค.ศ. 1630-1648) เสียเวลาสร้างอยู่ 23 ปี ทกส่วนสร้างด้วยหินอ่อนสีขาวนวลบริสุทธิ์ ตามแบบสถาปัตยกรรมเปอร์เซีย โดยสถาปนิก อุสตาด ไอสา (Ustad lsa) มีผู้ร่วมสร้างเป็น ผู้ออกแบบ ช่างเขียนลวดลาย ช่างอิฐ ช่างปูน ช่างประดับลวดลายด้วยกระเบื้อง ช่างแกะสลัก ช่างตกแต่งภายใน รวม 20,000 คน วัตถุในการก่อสร้าง คือ หินอ่อนสีขาวจากเมืองมะครานา หินอ่อนสีแดงจากเมืองฟาตีบุระ หินอ่อนสีเหลือง จากฝั่งแม่น้ำนรภัทฑ์ เพชรตาแมวจากกรุงแบกแดด ปะการัง และ หอยมุกจากมหาสมุทรอินเดีย หินเจียรไนสีฟ้าจากเกาะลังขะ เพชรจากเมืองบนทลขัณฑ์ สิ้นเงินค่าก่อสร้าง 50,000,000 เหรียญอเมริกัน หรือ ประมาณ 1,000,000,000 บาท ซึ่งได้รับคำรับรองจากสถาปนิกทั่วโลกว่าสร้างขึ้นโดยถูกสัดส่วน และ วิจิตรงดงามที่สุด กว้างยาวด้านละ 39 เมตร(130 ฟุต) ตรงกลางมีโดมสูง 60 เมตร(200 ฟุต) มีโดมเล็กๆ เป็นหสูงอยู่ทั้ง 4 มุม ภายในประดับด้วย หินอ่อนสลักฉลุเป็นลวดลายวิจิตรตระการตาแทรกเสริมด้วย พลอยสี ทับทิม และนิล ตรงกลางภายใต้หลังคาโดมใหญ่มีแท่นวางหีบศพที่ทำด้วยหินอ่อน และมีฉากหินอ่อนฉลุลายงามเป็นพิเศษกั้นอีกชั้นหนึ่ง แต่ศพจริงๆ ไม่ได้บรรจุอยู่ในหีบ หากฝังอยู่ในอุโมงค์ใต้ดินตรงกับที่วางหีบศพนั้น ภายหลังที่สร้างทัชมาฮาล ซาร์เจฮันใฝ่ฝันที่จะสร้าง ที่ฝังศพตัวเองที่ฝั่งแม่น้ำตรงกันข้ามจะเป็นหินอ่อนสีดำล้วนๆ แต่ลูกชายเกรงเงินจะหมดจะไม่มีใช้ เมื่อขึ้นครองราชสมบัติจึงจับพ่อขังอยู่ได้ 7 ปี ก็สิ้นพระชนม์ ประมาณปี พ.ศ.2209 (ค.ศ.1666) แล้วเอาศพไปฝังข้างศพแม่ ส่วนนายช่างผู้ออกแบบถูกสั่งให้ประหาร ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้มีโอกาสออกแบบสิ่งก่อสร้างใด ๆ ที่สวยกว่าได้ ทัชมาฮาลเป็นสถาปัตยกรรมที่ได้รับการยกย่องว่าสร้างขึ้นมาได้อย่างเหมาะสมสวยงามน่ามหัศจรรย์
ทัชมาฮัล เป็นอนุสาวรีย์แห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ของโลก เพราะที่นี่เป็นสุสานฝังศพของ มุมทัชมาฮาล ราชินีผู้ป็นที่รักยิ่งของ พระเจ้าชาห์เยฮัน อยู่ในเมืองอัคระ บนฝั่งแม่น้ำยมนา ประเทศอินเดีย มุมทัชมาฮาล เป็นมเหสีที่พระเจ้าชาห์เยฮันรักมากที่สุด พระนางสิ้นพระชนม์เพราะคลอดโอรสองค์ที่ 15 ซึ่งทำให้พระเจ้าชาห์เยฮัน เศร้าโศกมาก พระองค์จึงสร้างที่ฝังศพที่หญ่โตที่สุดในโลกขึ้นที่ริมแม่น้ำยมนา สร้างระหว่างปี พ.ศ. 2173-2191 (ค.ศ. 1630-1648) เสียเวลาสร้างอยู่ 23 ปี ทกส่วนสร้างด้วยหินอ่อนสีขาวนวลบริสุทธิ์ ตามแบบสถาปัตยกรรมเปอร์เซีย โดยสถาปนิก อุสตาด ไอสา (Ustad lsa) มีผู้ร่วมสร้างเป็น ผู้ออกแบบ ช่างเขียนลวดลาย ช่างอิฐ ช่างปูน ช่างประดับลวดลายด้วยกระเบื้อง ช่างแกะสลัก ช่างตกแต่งภายใน รวม 20,000 คน วัตถุในการก่อสร้าง คือ หินอ่อนสีขาวจากเมืองมะครานา หินอ่อนสีแดงจากเมืองฟาตีบุระ หินอ่อนสีเหลือง จากฝั่งแม่น้ำนรภัทฑ์ เพชรตาแมวจากกรุงแบกแดด ปะการัง และ หอยมุกจากมหาสมุทรอินเดีย หินเจียรไนสีฟ้าจากเกาะลังขะ เพชรจากเมืองบนทลขัณฑ์ สิ้นเงินค่าก่อสร้าง 50,000,000 เหรียญอเมริกัน หรือ ประมาณ 1,000,000,000 บาท ซึ่งได้รับคำรับรองจากสถาปนิกทั่วโลกว่าสร้างขึ้นโดยถูกสัดส่วน และ วิจิตรงดงามที่สุด กว้างยาวด้านละ 39 เมตร(130 ฟุต) ตรงกลางมีโดมสูง 60 เมตร(200 ฟุต) มีโดมเล็กๆ เป็นหสูงอยู่ทั้ง 4 มุม ภายในประดับด้วย หินอ่อนสลักฉลุเป็นลวดลายวิจิตรตระการตาแทรกเสริมด้วย พลอยสี ทับทิม และนิล ตรงกลางภายใต้หลังคาโดมใหญ่มีแท่นวางหีบศพที่ทำด้วยหินอ่อน และมีฉากหินอ่อนฉลุลายงามเป็นพิเศษกั้นอีกชั้นหนึ่ง แต่ศพจริงๆ ไม่ได้บรรจุอยู่ในหีบ หากฝังอยู่ในอุโมงค์ใต้ดินตรงกับที่วางหีบศพนั้น ภายหลังที่สร้างทัชมาฮาล ซาร์เจฮันใฝ่ฝันที่จะสร้าง ที่ฝังศพตัวเองที่ฝั่งแม่น้ำตรงกันข้ามจะเป็นหินอ่อนสีดำล้วนๆ แต่ลูกชายเกรงเงินจะหมดจะไม่มีใช้ เมื่อขึ้นครองราชสมบัติจึงจับพ่อขังอยู่ได้ 7 ปี ก็สิ้นพระชนม์ ประมาณปี พ.ศ.2209 (ค.ศ.1666) แล้วเอาศพไปฝังข้างศพแม่ ส่วนนายช่างผู้ออกแบบถูกสั่งให้ประหาร ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้มีโอกาสออกแบบสิ่งก่อสร้างใด ๆ ที่สวยกว่าได้ ทัชมาฮาลเป็นสถาปัตยกรรมที่ได้รับการยกย่องว่าสร้างขึ้นมาได้อย่างเหมาะสมสวยงามน่ามหัศจรรย์
เทพีเสรีภาพ
Download
เทพีเสรีภาพ-Statue of Liberty เด่นสง่า ณ เกาะเบคโล ปากอ่าวแมนฮัตตัน นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ประติมากรรมโลหะสำริด เทพีห่มเสื้อคลุม มือขวาชูประทีป มือซ้ายถือจารึกประกาศอิสรภาพ ตัวอนุสาวรีย์ภายในมีบันไดวน 162 ขั้น ประชาชนชาวฝรั่งเศสมอบเธอเป็นของขวัญแก่อเมริกันชนผู้แสวงหาเสรีภาพ ย้อนไป ค.ศ.1865 ณ กรุงปารีส ฝรั่งเศส นักวิชาการหัวก้าวหน้าและกลุ่มหนุ่มไฟแรงพบปะสนทนาที่บ้านนายเอดู อาร์ต เดอลา บูลาเยอ ถึงการเมืองเรื่องการปกครองที่ประชาชนขาดเสรีภาพและไม่ได้รับความเสมอภาคจากองค์จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 พวกเขาชื่นชมชาวอเมริกันที่หาญกล้าลุกฮือขึ้นสู้กับอังกฤษ และปลดแอกสำเร็จเป็นชาติเอกราชในที่สุด เสรีภาพที่อเมริกันได้มาจุดประกายความคิดปารีเซียงกลุ่มนั้นที่จะสร้างงานศิลป์ชิ้นหนึ่งให้เป็น ของขวัญในวันอเมริกาเฉลิมฉลองวันชาติครบ 100 ปี 4 กรกฎาคม 1876 พวกเขารณรงค์หาเงินบริจาคจากประชาชนฝรั่งเศสทั่วประเทศ แล้วให้ปฏิมากร เฟรเดริก ออกุสต์บาร์โธลดี ออกแบบจากมติที่ต้องการให้ของขวัญเป็นรูปปั้นขนาดใหญ่ของสตรีในชุดเครื่องแต่งกายดั่งชาวโรมัน สวมมงกุฎรูปเดือยแหลม 7 แฉก สื่อความหมายถึง 7 ทวีป 7 คาบมหาสมุทร ในท่ายืนชูคบเพลิงด้วยมือขวาให้แสงสว่างแก่เสรีภาพ มือซ้ายถือแผ่นจารึกประกาศอิสรภาพ จารึกอักษร 4 JULY 1876 เท้าข้างหนึ่งมีโซ่ตรวนขาดสะบั้นสื่อถึงความหลุดพ้นจากการเป็นทาส ส่วนฐานรองรับเทพี เป็นภารกิจของอเมริกัน พวกเขาระดมทุนสร้างเป็นตึกสูง 87 ฟุต ออกแบบโดยสถาปนิก ริชาร์ด มอร์ริส ฮันต์ ในตัวอาคารจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์การสร้างอนุสาวรีย์ และการสร้างชาติสหรัฐอเมริกา พิธีเปิด อนุสาวรีย์แด่อิสรภาพของอเมริกัน: เสรีภาพส่องแสงสว่างแก่ชาวโลก? (MONUMENT TO AMERICAN INDEPENDENT: LIBERTY ENLIGHTENING THE WORLD) อย่างเป็นทางการโดยประธานาธิบดีโกรฟเวอร์ คลีฟ-แลนด์ มีขึ้นวันที่ 28 ตุลาคม 1886 ปีติยินดีถ้วนหน้าทั้งฝรั่งเศสและอเมริกัน ข้อมูลจำเพาะของสตรีผู้ยืนเด่นอยู่บนแท่นทรงสี่เหลี่ยมบนฐานกว้าง 3 ชั้น ตัวเธอสูง 152 ฟุต แขนแต่ละข้างยาว 42 ฟุต นิ้วชี้ยาว 8 ฟุต เล็บนิ้วยาว 10-13 นิ้ว ภายเทพีโปร่งเป็นโครงเหล็กที่ออกแบบและคำนวณโดย กุสตาฟ ไอเฟล วิศวกรผู้สร้างหอไอเฟล แยกเป็นชิ้นส่วนบรรจุในลังทั้งหมดถึง 214 ลัง ส่งจากฝรั่งเศสนำมาต่อเป็นรูปร่างสูงถึง 302 ฟุต (วัดจากปลายคบไฟถึงปลายเท้า) ใช้แผ่นโลหะทองแดงหรือสำริด 32 ตัน รมสีเขียว ส่วนคบไฟติดตั้งระบบแสงไฟฟ้าสีเขียว 13,250 วัตต์ มีบันไดเวียนให้ขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์จากส่วนที่เป็นมงกุฎของเทพี รวมค่าใช้จ่ายในการสร้างสรรค์ดั้งเดิมประมาณ 650,000 ดอลลาร์ ส่วนงบบูรณะครั้งใหญ่ตั้งแต่ปี 1981 เพื่อจัดฉลอง 100 ปีเทพีเสรีภาพในปี 1986 ใช้ไป 86 ล้านดอลลาร์ จากที่ระดมทุนมาได้ 265 ล้านดอลลาร์ (16 ก.ค. 2547)
เทพีเสรีภาพ-Statue of Liberty เด่นสง่า ณ เกาะเบคโล ปากอ่าวแมนฮัตตัน นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ประติมากรรมโลหะสำริด เทพีห่มเสื้อคลุม มือขวาชูประทีป มือซ้ายถือจารึกประกาศอิสรภาพ ตัวอนุสาวรีย์ภายในมีบันไดวน 162 ขั้น ประชาชนชาวฝรั่งเศสมอบเธอเป็นของขวัญแก่อเมริกันชนผู้แสวงหาเสรีภาพ ย้อนไป ค.ศ.1865 ณ กรุงปารีส ฝรั่งเศส นักวิชาการหัวก้าวหน้าและกลุ่มหนุ่มไฟแรงพบปะสนทนาที่บ้านนายเอดู อาร์ต เดอลา บูลาเยอ ถึงการเมืองเรื่องการปกครองที่ประชาชนขาดเสรีภาพและไม่ได้รับความเสมอภาคจากองค์จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 พวกเขาชื่นชมชาวอเมริกันที่หาญกล้าลุกฮือขึ้นสู้กับอังกฤษ และปลดแอกสำเร็จเป็นชาติเอกราชในที่สุด เสรีภาพที่อเมริกันได้มาจุดประกายความคิดปารีเซียงกลุ่มนั้นที่จะสร้างงานศิลป์ชิ้นหนึ่งให้เป็น ของขวัญในวันอเมริกาเฉลิมฉลองวันชาติครบ 100 ปี 4 กรกฎาคม 1876 พวกเขารณรงค์หาเงินบริจาคจากประชาชนฝรั่งเศสทั่วประเทศ แล้วให้ปฏิมากร เฟรเดริก ออกุสต์บาร์โธลดี ออกแบบจากมติที่ต้องการให้ของขวัญเป็นรูปปั้นขนาดใหญ่ของสตรีในชุดเครื่องแต่งกายดั่งชาวโรมัน สวมมงกุฎรูปเดือยแหลม 7 แฉก สื่อความหมายถึง 7 ทวีป 7 คาบมหาสมุทร ในท่ายืนชูคบเพลิงด้วยมือขวาให้แสงสว่างแก่เสรีภาพ มือซ้ายถือแผ่นจารึกประกาศอิสรภาพ จารึกอักษร 4 JULY 1876 เท้าข้างหนึ่งมีโซ่ตรวนขาดสะบั้นสื่อถึงความหลุดพ้นจากการเป็นทาส ส่วนฐานรองรับเทพี เป็นภารกิจของอเมริกัน พวกเขาระดมทุนสร้างเป็นตึกสูง 87 ฟุต ออกแบบโดยสถาปนิก ริชาร์ด มอร์ริส ฮันต์ ในตัวอาคารจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์การสร้างอนุสาวรีย์ และการสร้างชาติสหรัฐอเมริกา พิธีเปิด อนุสาวรีย์แด่อิสรภาพของอเมริกัน: เสรีภาพส่องแสงสว่างแก่ชาวโลก? (MONUMENT TO AMERICAN INDEPENDENT: LIBERTY ENLIGHTENING THE WORLD) อย่างเป็นทางการโดยประธานาธิบดีโกรฟเวอร์ คลีฟ-แลนด์ มีขึ้นวันที่ 28 ตุลาคม 1886 ปีติยินดีถ้วนหน้าทั้งฝรั่งเศสและอเมริกัน ข้อมูลจำเพาะของสตรีผู้ยืนเด่นอยู่บนแท่นทรงสี่เหลี่ยมบนฐานกว้าง 3 ชั้น ตัวเธอสูง 152 ฟุต แขนแต่ละข้างยาว 42 ฟุต นิ้วชี้ยาว 8 ฟุต เล็บนิ้วยาว 10-13 นิ้ว ภายเทพีโปร่งเป็นโครงเหล็กที่ออกแบบและคำนวณโดย กุสตาฟ ไอเฟล วิศวกรผู้สร้างหอไอเฟล แยกเป็นชิ้นส่วนบรรจุในลังทั้งหมดถึง 214 ลัง ส่งจากฝรั่งเศสนำมาต่อเป็นรูปร่างสูงถึง 302 ฟุต (วัดจากปลายคบไฟถึงปลายเท้า) ใช้แผ่นโลหะทองแดงหรือสำริด 32 ตัน รมสีเขียว ส่วนคบไฟติดตั้งระบบแสงไฟฟ้าสีเขียว 13,250 วัตต์ มีบันไดเวียนให้ขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์จากส่วนที่เป็นมงกุฎของเทพี รวมค่าใช้จ่ายในการสร้างสรรค์ดั้งเดิมประมาณ 650,000 ดอลลาร์ ส่วนงบบูรณะครั้งใหญ่ตั้งแต่ปี 1981 เพื่อจัดฉลอง 100 ปีเทพีเสรีภาพในปี 1986 ใช้ไป 86 ล้านดอลลาร์ จากที่ระดมทุนมาได้ 265 ล้านดอลลาร์ (16 ก.ค. 2547)
หอไอเฟล
Download
หอไอเฟล (Eiffel Tower) ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นหอคอยที่มีความสูงเสียดฟ้า มีความงามสง่า รูปร่างอ่อนช้อย ซึ่งสะท้อนให้เห็นจิตวิญญาณของฝรั่งเศส หอไอเฟลได้รับการออกแบบและก่อสร้างในปี ค.ศ.1839 มันคือผลงานชิ้นเอกในการ -ฉลองการปฏิวัติฝรั่งเศสอันนองเลือดเมื่อ 100 ปีก่อนหน้า หอคอยเหมือนเป็นสิ่งที่ชาญฉลาดทางเทคโนโลยี ในอดีตไม่เคยมีใครสร้างหอคอยที่สูงกว่า 1,000 ฟุต หลายคนพยายามลอง แม้กระทั่งในสหรัฐอเมริกาก็มีการออกแบบไว้อยู่หลายแบบ แต่ก็ไม่เคยสร้างจริงขึ้นมา ฝรั่งเศสได้จัดการประกวดเพื่อออกแบบหอคอย แบบแรกถูกเสนอโดย เวอร์ริส คล็อกลิน ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะวิศวกรของ กุสตาฟ ไอ-เฟล (Gustave Eiffel) กุสตาฟ ไอเฟล เป็นคนแรกที่เดินขึ้นบันได 1,710 ขั้น เพื่อขึ้นไปที่จุดสูงสุดของหอคอย แล้วแขวนธงชาติ 3 สีของฝรั่งเศส มีการเปิดงานแสดงสินค้าในปี ค.ศ.1889 ในกรุงปารีส งานชิ้นเอก คือหอคอยที่สูงกว่า 300 เมตรที่งดงาม และในที่สุดมันจะเป็นที่รู้จักในนาม หอไอเฟล ท้องฟ้าสีกุหลาบยามเย็น กัดสีผนังลายหินอ่อนของสถาปัตยกรรมในปารีส หอไอเฟลก็ยังคงตั้งอยู่ในฐานะของความมหัศจรรย์ทางเทคโนโลยี ความสำเร็จทางวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม เป็นสัญลักษณ์แห่งกรุงปารีส และ เป็นยังคงเป็นจิตวิญญาณของฝรั่งเศส
หอไอเฟล (Eiffel Tower) ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นหอคอยที่มีความสูงเสียดฟ้า มีความงามสง่า รูปร่างอ่อนช้อย ซึ่งสะท้อนให้เห็นจิตวิญญาณของฝรั่งเศส หอไอเฟลได้รับการออกแบบและก่อสร้างในปี ค.ศ.1839 มันคือผลงานชิ้นเอกในการ -ฉลองการปฏิวัติฝรั่งเศสอันนองเลือดเมื่อ 100 ปีก่อนหน้า หอคอยเหมือนเป็นสิ่งที่ชาญฉลาดทางเทคโนโลยี ในอดีตไม่เคยมีใครสร้างหอคอยที่สูงกว่า 1,000 ฟุต หลายคนพยายามลอง แม้กระทั่งในสหรัฐอเมริกาก็มีการออกแบบไว้อยู่หลายแบบ แต่ก็ไม่เคยสร้างจริงขึ้นมา ฝรั่งเศสได้จัดการประกวดเพื่อออกแบบหอคอย แบบแรกถูกเสนอโดย เวอร์ริส คล็อกลิน ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะวิศวกรของ กุสตาฟ ไอ-เฟล (Gustave Eiffel) กุสตาฟ ไอเฟล เป็นคนแรกที่เดินขึ้นบันได 1,710 ขั้น เพื่อขึ้นไปที่จุดสูงสุดของหอคอย แล้วแขวนธงชาติ 3 สีของฝรั่งเศส มีการเปิดงานแสดงสินค้าในปี ค.ศ.1889 ในกรุงปารีส งานชิ้นเอก คือหอคอยที่สูงกว่า 300 เมตรที่งดงาม และในที่สุดมันจะเป็นที่รู้จักในนาม หอไอเฟล ท้องฟ้าสีกุหลาบยามเย็น กัดสีผนังลายหินอ่อนของสถาปัตยกรรมในปารีส หอไอเฟลก็ยังคงตั้งอยู่ในฐานะของความมหัศจรรย์ทางเทคโนโลยี ความสำเร็จทางวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม เป็นสัญลักษณ์แห่งกรุงปารีส และ เป็นยังคงเป็นจิตวิญญาณของฝรั่งเศส
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)